JR Rail Passes

JR Rail Passes

ผู้โดยสาร NaN คน
กรองข้อมูล

เจอาร์พาสคืออะไร?

เจแปนเรลพาส (เจอาร์พาส) คือตั๋วชนิดพิเศษที่มีไว้สำหรับนักท่องเที่ยวที่มาเที่ยวประเทศญี่ปุ่นโดยเฉพาะ โดยนักท่องเที่ยวสามารถใช้เจอาร์พาสเพื่อเดินทางแบบไม่มีจำกัดจำนวนการใช้งานบนเครือข่ายของกลุ่มบริษัทรถไฟญี่ปุ่น (JR) ซึ่งรวมไปถึงรถไฟด่วนหัวกระสุนชินคันเซ็น (Shinkansen) รถไฟด่วนพิเศษชนิดที่จอดสถานีน้อยที่สุด ใช้เวลาในการเดินทางสั้นที่สุด และถึงจุดหมายเร็วที่สุด (Limited Express Trains) และรถไฟสายประจำแต่ละภูมิภาค

เจอาร์พาสช่วยให้คุณเดินทางได้แบบไม่มีจำกัดจำนวนครั้งในช่วงเวลาที่กำหนด โดยส่วนใหญ่แล้วนั่นคือในช่วงระยะเวลา 7 วัน 14 วัน และ 21 วัน ซึ่งมาในราคาสำหรับเด็กและผู้ใหญ่ อย่างไรก็ตาม เจอาร์พาสที่มีอายุการใช้งานสั้นๆก็มีให้เลือกซื้อสำหรับบางเส้นทางเช่นกัน เริ่มต้นที่ 1 วัน นอกจากนี้ ผู้ใช้เจอาร์พาสยังสามารถใช้บริการรถบัสภูมิภาคของกลุ่มบริษัทรถไฟญี่ปุ่น และ Miyajima Ferry ได้อีกด้วย หากคุณมีแผนจะเดินทางออกจากโตเกียวอย่างน้อย 2 ครั้ง แค่ใช้เจอาร์พาสก็คุ้มแล้วล่ะ เนื่องจากการเดินทางในญี่ปุ่นนั้นราคาไม่ถูกเลย ดังนั้นการใช้ตั๋วนี้จึงจะช่วยให้คุณประหยัดเงินไปได้เยอะเลย

ประเภทของเรลพาส

  1. พาสที่ครอบคลุมทั้งประเทศญี่ปุ่น (National JR Pass หรือ Whole Japan Rail Pass): พาสประเภทนี้ช่วยให้นักท่องเที่ยวสามารถเดินทางโดยรถไฟของกลุ่มบริษัทรถไฟญี่ปุ่นไปได้ทั่วทั้งญี่ปุ่นแบบไม่มีจำกัดจำนวนครั้งการใช้งาน ภายในระยะเวลาที่กำหนด (7 วัน 14 วัน หรือ 21 วัน) เส้นทางครอบคลุมรถไฟที่ดำเนินการโดยกลุ่มบริษัทรถไฟญี่ปุ่นส่วนใหญ่ ซึ่งรวมไปถึง รถไฟด่วนหัวกระสุนชินคันเซ็น (Shinkansen) รถไฟด่วนพิเศษชนิดที่จอดสถานีน้อยที่สุด ใช้เวลาในการเดินทางสั้นที่สุด และถึงจุดหมายเร็วที่สุด (Limited Express Trains) และรถไฟสายประจำแต่ละภูมิภาค
  2. พาสที่ครอบคลุมระดับภูมิภาค (Regional Passes): ทางกลุ่มบริษัทรถไฟญี่ปุ่นมีขายพาสที่ครอบคลุมในหลายภูมิภาค เช่น JR Hokkaido Pass, JR East Pass ซึ่งครอบคลุมโตเกียวและอาณาบริเวณรอบๆ ซึ่งรวมไปถึง Tokyo Monorail, JR West Pass ซึ่งครอบคลุม Kansai, Chugoku และพื้นที่หลายๆส่วนของของ Shikoku และ JR Kyushu Pass เป็นต้น พาสเหล่านี้ช่วยให้เหล่านักท่องเที่ยวเดินทางได้แบบไม่จำกัดจำนวนเที่ยว ภายในภูมิภาคที่กำหนด ในระยะเวลาที่จำกัดไว้
  3. พาสแบบไพรเวท (Private Railways passes): ตัวอย่างเช่น Keihan Railways ที่ครอบคลุมเส้นทางจากบริเวณเกียวโตไปถึงโอซาก้า
  4. พาสสำหรับเดินทางในเมือง (City Passes): เช่น พาสสำหรับใช้เดินทางบน Tokyo Subway และ พาสสำหรับใช้เดินทางบนรถไฟใต้ดินโอซาก้า

ราคาเจอาร์พาส

ราคาของเจอาร์พาสอาจแตกต่างกันไปสำหรับแต่ละคน ขึ้นอยู่กับว่าซื้อมาจากที่ไหน อัตราแลกเปลี่ยน และโปรโมชั่นที่คุณหามาได้ด้วย โดยตัวอย่างราคามีดังต่อไปนี้:

ตู้ที่นั่งธรรมดา (Ordinary Car JR Pass)

7 วัน 14 วัน 21 วัน
เด็ก 8,500 บาท เด็ก 13,400 บาท เด็ก 17,100 บาท
ผู้ใหญ่ 12,200 บาท ผู้ใหญ่ 19,500 บาท ผู้ใหญ่ 25,000 บาท

ตู้ที่นั่งพิเศษ (Green Car JR Pass)

7 วัน 14 วัน 21 วัน
เด็ก 8,500 บาท เด็ก 13,500 บาท เด็ก 17,100 บาท
ผู้ใหญ่ 17,000 บาท ผู้ใหญ่ 27,000 บาท ผู้ใหญ่ 34,000 บาท

สำหรับเด็กที่มีอายุ 0 ถึง 5 ปี สามารถใช้บริการเครือข่ายการเดินทางของกลุ่มบริษัทรถไฟญี่ปุ่นได้โดยไม่ต้องซื้อเจแปนเรลพาส ข้อควรระวังอย่างหนึ่งคือเด็กเหล่านี้จะไม่มีที่นั่งเป็นของตัวเอง และต้องอยู่บนตักของผู้ใหญ่ที่มาด้วยกันเท่านั้น ยกเว้นบนขบวนมีที่นั่งว่างที่ไม่มีการจองไว้ หรือทำการจองที่นั่งไว้ให้เด็กเหล่านี้ต่างหาก จริงๆแล้วไม่มีข้อกำหนดว่าใครนั่งได้กี่ที่ ขอแค่เด็กเหล่านี้มีพาสเป็นของตัวเองก็โอเคแล้ว

ตู้ที่นั่งธรรมดา (Ordinary Car) กับ ตู้ที่นั่งพิเศษ (Green Car) ต่างกันอย่างไร?

ชินคันเซ็น (Shinkanzen) หรือ รถไฟด่วนหัวกระสุน แบ่งออกเป็น 2 ประเภท: ตู้ที่นั่งธรรมดา (Ordinary Cars) และ ตู้ที่นั่งพิเศษ (Green Cars) โดยทั้งสองประเภทต่างกันในเรื่องของความสุขสบาย พื้นที่ และเงื่อนไขของการให้บริการ

Ordinary Cars คือ ตู้ที่นั่งมาตรฐานของชินคันเซ็น ที่นั่งให้ฟีลอบอุ่น เรียงตัวกันแบบ 3+2 ซึ่งก็เพียงพอแล้วสำหรับคนส่วนใหญ่ โดยตู้เหล่านี้ได้รับการบำรุงรักษาเป็นอย่างดี และมอบประสบการณ์การเดินทางสุดเพลินใจในราคาที่ย่อมเยากว่า ตั๋วสำหรับตู้ที่นั่งธรรมดาไม่มีการกำหนดที่นั่ง นักท่องเที่ยวสามารถขึ้นรถไฟทั้งที่ไม่มีหมายเลขที่นั่งได้เลย ซึ่งสะดวกมากสำหรับคนที่กำหนดการไม่แน่นอน

Green Cars นั้นเปรียบเสมือนบริการชั้นหนึ่ง ในตู้ประเภทนี้ ที่นั่งถูกจัดวางเป็นแบบ 2+2 ทำให้มีพื้นที่สำหรับวางแขนที่กว้างกว่า ส่วนพื้นที่วางขาก็กว้างกว่าด้วยเช่นกัน ให้ความรู้สึกอย่างกับนั่งอยู่ในเครื่องบินชั้นธุรกิจ ทุกที่นั่งบนตู้ที่นั่งพิเศษจะมีการจองที่ไว้สำหรับแต่ละคน ดังนั้นผู้โดยสารทุกคนจะมีที่นั่งเป็นของตัวเองแน่นอน นักท่องเที่ยวสามารถดื่มด่ำไปกับความเงียบและสิทธิพิเศษของตู้ชนิดนี้ได้อย่างเต็มที่ นอกจากนี้ ตามที่นั่งยังมีสิ่งอำนวยความสะดวกไว้ให้ใช้ด้วย เช่น เก้าอี้ไฟฟ้าสำหรับเอนกายพักผ่อนที่มาพร้อมโคมไฟสำหรับอ่านหนังสือ ด้วยเหตุเหล่าตู้ที่นั่งพิเศษจึงมีราคาที่สูงกว่าตู้ที่นั่งธรรมดา เพราะว่าตู้ที่นั่งพิเศษให้ความหรูหราสะดวกสบายกว่าเยอะ

โดยรวมแล้ว แม้ว่า Ordinary Cars จะมีการให้บริการที่ดีเยี่ยม Green Cars มอบความสะดวกสบายขั้นสุดและการบริการที่เหนือกว่ายิ่งขึ้นกว่าไปอีก รวมถึงมีอุปกรณ์และสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน ให้การเดินทางของคุณหรูสุดๆไปเลย

วิธีซื้อเจอาร์พาส

วิธีซื้อและรับพาสที่ครอบคลุมทั้งประเทศญี่ปุ่น (National JR Pass):

  1. จองพาสที่ต้องการ (สามารถจองได้บนเว็บนี้เลย):
    • เลือกพาสที่ต้องการ ประเภท (เด็กหรือผู้ใหญ่) คลาส และระยะเวลาของการใช้งาน
    • ระหว่างการชำระเงิน ตรวจดูให้แน่ใจว่าข้อมูลส่วนตัวถูกต้อง ประกอบไปด้วยชื่อของผู้โดยสารที่ตรงตามบนพาสปอร์ต และที่อยู่สำหรับรับวอเชอร์
  2. รับวอเชอร์ (exchange order) ที่จะใช้ในการรับพาส:
    • หลังจากการซื้อเจอาร์พาส เราจะพิมพ์และส่งวอเชอร์ที่จะใช้ในการรับพาสไปให้คุณตามรายละเอียดที่อยู่ โดยวิธีขนส่งแบบปกติ (ส่วนใหญ่แล้วจะเป็น EMS ของ RedEx).
  3. (ไม่บังคับ) จองที่นั่งที่ต้องการ บนรถไฟขบวนที่ต้องการ:
    • ส่วนใหญ่แล้วสามารถทำได้ทางออนไลน์ แค่เลือกผู้ให้บริการจากสถานีต้นทางที่ต้องการ แล้วจองที่นั่งบนเว็บได้เลย
  4. แลกวอเชอร์เพื่อรับพาสจริง:
    • เมื่ออยู่ที่ญี่ปุ่นแล้ว ให้ไปที่เคาน์เตอร์แลกเจอาร์พาสตามสนามบินหลักๆ สถานีรถไฟ หรือศูนย์การท่องเที่ยวที่กำหนด โชว์วอเชอร์ (exchange order) และพาสปอร์ต เพื่อแลกรับเจอาร์พาสตัวจริง หรืออีกวิธีหนึ่งคือใช้เครื่องออกตั๋วที่มีอยู่ตามสถานีหลักๆของกลุ่มบริษัทรถไฟญี่ปุ่นก็ได้เช่นกัน

ถ้าคุณอยากซื้อพาสที่ครอบคลุมระดับภูมิภาค (Regional Rail Passes) สามารถทำได้ง่ายๆเลย ไม่ต้องรอรับวอเชอร์ด้วย โดยหลังจากที่ทำการซื้อเสร็จ คุณจะได้รับ QR code ที่สามารถนำไปใช้ที่เครื่องออกตั๋วที่สถานี แล้วรับพาสได้เลย

ซื้อเจอาร์พาสในไทยที่ไหน

นักท่องเที่ยวสามารถซื้อเจแปนเรลพาสจากตัวแทนจําหน่ายในไทย ซึ่ง 12Go เองก็เป็นหนึ่งในตัวแทนจำหน่ายอย่างถูกต้องของกลุ่มบริษัทรถไฟญี่ปุ่นเช่นกัน เช็คราคาและจองเจอาร์พาสได้ที่นี่

วิธีจองที่นั่งชินคันเซ็นสำหรับเจอาร์พาส

รถไฟด่วนหัวกระสุนชินคันเซ็น (Shinkansen) เป็นหนึ่งในวิธีการเดินทางที่สะดวก แต่บางทีก็คนแน่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลาเร่งด่วน หรือ วันหยุดนักขัตฤกษ์ ดังนั้นการจองที่นั่งไว้ก่อนล่วงหน้าจึงมีประโยชน์ การจองที่นั่งไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม ผู้ใช้เจอาร์พาสสามารถทำการจองที่นั่งได้ที่เคาน์เตอร์แลกตั๋วของกลุ่มบริษัทรถไฟญี่ปุ่นหรือที่เครื่องออกตั๋วตามสถานีรถไฟในญี่ปุ่นได้เลย

ข้อดีของเครื่องออกตั๋วคือประหยัดเวลา คุณสามารถแลกวอเชอร์ (exchange order) เพื่อรับเจอาร์พาสตัวจริง หรือทำการจองที่นั่งได้โดยที่ไม่ต้องไปต่อคิวที่เคาน์เตอร์แลกตั๋วที่บางทีก็อาจคนเยอะ

นอกจากนี้ คุณยังสามารถจองออนไลน์ได้ด้วยนะ แต่ยังคงจำเป็นต้องไปที่เครื่องออกตั๋วเพื่อรับใบจองที่นั่งก่อนขึ้นรถไฟ

ข้อยกเว้นอย่างหนึ่งคือคุณไม่สามารถจองผู้ให้บริการบนเส้นทาง JR Central ออนไลน์ได้ (เส้นทาง โตเกียว - เกียวโต - โอซาก้า) นอกจากนี้ รถไฟต่างจังหวัดและรถไฟที่วิ่งระยะสั้น ก็จองที่นั่งไม่ได้

การจองที่นั่งเป็นสิ่งจำเป็นเฉพาะสำหรับรถไฟบางขบวนเท่านั้น เช่น Narita Express รถไฟด่วนหัวกระสุนชินคันเซ็น (Shinkanzen) บางขบวน และ รถไฟด่วนพิเศษชนิดที่จอดสถานีน้อยที่สุด ใช้เวลาในการเดินทางสั้นที่สุด และถึงจุดหมายเร็วที่สุด (Limited Express Trains) ขบวนที่วิ่งจาก โอซาก้า และ โตเกียว ไป อามาโนะฮาชิดาเตะ, คิโนะซากิออนเซ็น และ คุมาโนะ

วิธีใช้เครื่องออกตั๋วเพื่อแลกเจอาร์พาส

  1. สแกน QR code บนเจอาร์พาสของคุณด้วยตัวสแกนของเครื่องออกตั๋ว หรือจะพิมพ์หมายเลขการจองบนพาสและหมายเลขพาสปอร์ตเอาก็ได้เช่นกัน
  2. กรอกรายละเอียดการเดินทางของคุณ วันที่ และเวลา จากนั้นเลือกชนิดของรถไฟและสิ่งอำนวยความสะดวกที่ต้องการ ถ้าคุณจองที่นั่งไว้ทางออนไลน์แล้วก่อนหน้านี้ เลือกรายละเอียดการเดินทางที่จะออกตั๋ว
  3. ตรวจสอบข้อมูลทั้งหมดอีกครั้ง เมื่อแน่ใจว่าทุกอย่างถูกต้องแล้ว กดออกตั๋วได้เลย
  4. คุณสามารถรับใบจองที่นั่งโดยการนำเจอาร์พาสของคุณไปแสดงที่ศูนย์บริการท่องเที่ยวตามสถานีของกลุ่มบริษัทรถไฟญี่ปุ่น หรือที่เคาน์เตอร์ของตัวแทนจำหน่ายของกลุ่มบริษัทรถไฟญี่ปุ่น

คุณสมบัติสำหรับการเข้ารับเจแปนเรลพาส

เจอาร์พาสมีไว้สำหรับนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่มาเที่ยวประเทศญี่ปุ่นด้วยสถานะ ผู้มาเยี่ยมเยียนชั่วคราว (Temporary Visitor) โดยส่วนใหญ่แล้วรวมไปถึงนักเดินทางที่เข้าสู่ประเทศญี่ปุ่นด้วยวีซ่านักท่องเที่ยว หรือ ได้รับการยกเว้นวีซ่า เช่น มาจากประเทศที่ไม่จำเป็นต้องมีวีซ่า

ขั้นตอน:

  1. นักท่องเที่ยวสามารถซื้อเจอาร์พาสก่อนเข้าประเทศญี่ปุ่น โดยปกติแล้วระยะเวลาสำหรับการแลกวอเชอร์ (exchange order) จะถูกกำหนดไว้แล้ว ส่วนใหญ่คือ 3 เดือนจากวันที่วอเชอร์ออก
  2. การซื้อพาสที่ครอบคลุมทั้งประเทศญี่ปุ่น (National JR Pass) นักท่องเที่ยวต้องแสดงพาสปอร์ตที่มีสแตมป์เครื่องหมายผู้มาเยี่ยมเยียนชั่วคราว (Temporary Visitor) หรือวีซ่า ก่อนการเข้าสู่ประเทศญี่ปุ่น ชื่อบนพาสปอร์ตต้องตรงกับชื่อบนวอเชอร์
  3. เมื่อมาถึงญี่ปุ่นแล้ว คุณสามารถแลกวอเชอร์เจอาร์พาส (หรือใช้ QR code) เพื่อรับพาสตัวจริงได้ที่เคาน์เตอร์แลกเจอาร์พาส หรือที่เครื่องออกตั๋วที่มักจะมีอยู่ตามสนามบิน สถานีรถไฟ หรือศูนย์การท่องเที่ยว
  4. กรอกรายละเอียดส่วนบุคคลและรายละเอียดพาสปอร์ตของคุณลงบนเอกสาร หลังจากนั้น การที่คุณจะสามารถใช้เจอาร์พาสได้เลยหรือต้องรอก่อนการนำไปใช้นั้น ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขของพาสของแต่ละคน

วิธีใช้เจอาร์พาสก็ง่ายๆ เพียงแสดงพาสที่ประตูตรวจตั๋วก่อนขึ้นรถไฟ

วิธียกเลิกการจองเจอาร์พาส

การยกเลิกการจองเจอาร์พาสในกรณีส่วนใหญ่แล้วคุณต้องไปที่เคาน์เตอร์แลกตั๋วเจอาร์พาสในญี่ปุ่น อาจต้องแสดงวอเชอร์ (exchange order) และเอกสารอื่นๆที่เกี่ยวข้อง อาจมีค่ายกเลิกการจองและขั้นตอนต่างๆเพิ่มเข้ามา ซึ่งขึ้นอยู่กับแต่ละกรณี แนะนำว่าให้ศึกษานโยบายการยกเลิกสำหรับพาสของคุณไว้ก่อน

อีกทางหนึ่งก็คือ ถ้าวอเชอร์ยังไม่ถูกใช้งาน คุณสามารถขอเงินคืนได้โดยไม่ต้องเสียค่ายกเลิก โดยส่งคำขอคืนเงินบนระบบของเราภายใน 1 ปีหลังจากวันที่วอเชอร์ออก เพียงติดต่อฝ่ายบริการลูกค้าของเราพร้อมระบุหมายเลขการจองของคุณ

ขอบเขตของการใช้งานเจอาร์พาส

ขอบเขตการใช้งานเจแปนเรลพาสครอบคลุมอย่างทั่วถึงทั้งประเทศญี่ปุ่น มอบการเดินทางแบบไม่มีจำกัดด้วยรถไฟ รถบัส และเรือเฟอร์รี่ของ กลุ่มบริษัทรถไฟญี่ปุ่น รวมไปถึงรถไฟด่วนหัวกระสุนชินคันเซ็น (Shinkansen) รถไฟด่วนพิเศษชนิดที่จอดสถานีน้อยที่สุด ใช้เวลาในการเดินทางสั้นที่สุด และถึงจุดหมายเร็วที่สุด (Limited Express Trains) รถไฟสายประจำแต่ละภูมิภาค รสบัส และเรือเฟอร์รี่ที่ดำเนินการโดยกลุ่มบริษัทรถไฟญี่ปุ่น (JR Group)

กลุ่มบริษัทรถไฟญี่ปุ่นครอบคลุมพื้นที่มากมายหลายโซนในประเทศญี่ปุ่น แบ่งออกเป็นโซนหลักๆดังนี้:

JR East

JR Central

JR West

  • ภูมิภาค Kansai (โอซาก้า เกียวโต และ ฮิโรชิม่า);
  • ภูมิภาค Hokuriku (คานาซาว่า);
  • Sanyo Shinkansen ที่วิ่งระหว่าง ชินโอซาก้า และ ฮากาตะ;
  • Limited Express Trains สาย Thunderbird, Haruka และอื่นๆ;
  • อ่านรายละเอียด JR West Pass ที่นี่

JR Kyushu

JR Hokkaido

  • ภูมิภาค Hokkaido (ซัปโปโร และ ฮาโกดาเตะ);
  • Hokkaido Shinkansen ที่วิ่งระหว่าง ชิน-ฮาโกดาเตะ-โฮคุโตะ และ ซัปโปโร (เวลาที่เปิดให้บริการแบบครบๆ);
  • อ่านรายละเอียด JR Hokkaido Pass ที่นี่

JR Shikoku

  • ครอบคลุม 4 จังหวัดบนเกาะ Shikoku: คากาวะ โทคุชิมะ เอฮิเมะ และ โคจิ;
  • สายหลักๆคือ Yosan Line, Dosan Line, Kotoku Line และ Seto-Ohashi Line;
  • เชื่อมต่อเมืองหลักๆเข้าด้วยกัน เช่น ทาคามัตสึ มัตสึยามะ โคจิ และ เอฮิเมะ;
  • อ่านรายละเอียด JR Shikoku Pass ที่นี่

ชินคันเซ็น (Shinkansen) สายที่ใช้เจอาร์พาสได้

  • Tokaido Shinkansen
  • Sanyo Shinkansen
  • Hokuriku / Nagano Shinkansen
  • Hokkaido Shinkansen
  • Tohoku Shinkansen
  • Yamagata Shinkansen
  • Akita Shinkansen
  • Kyushu Shinkansen
  • Nishi-Kyushu Shinkansen
  • Linear Chuo Shinkansen

รถไฟสายต่างๆที่ใช้เจอาร์พาสได้ (โตเกียว - เกียวโต - โอซาก้า)

  • Yamanote line (โตเกียว)
  • Chuo-Sobu line (โตเกียว)
  • Keihin-Tohoku line (โตเกียว)
  • JR Nara line (เกียวโต)
  • JR Sagano line (เกียวโต)
  • Osaka Loop line (โอซาก้า)
  • Tozai line (โอซาก้า)

เส้นทางยอดนิยมที่ใช้เจแปนเรลพาสได้

จากโตเกียว

จากโอซาก้า

จากนาโกย่า

จากเกียวโต

ใช้เจอาร์พาสกับอะไรไม่ได้บ้าง?

แม้ว่าเจอาร์พาสจะครอบคลุมรถไฟด่วนหัวกระสุนชินคันเซ็น (Shinkansen) ส่วนใหญ่ แต่ก็มีข้อยกเว้นอยู่เหมือนกัน เช่น Nozomi trains และ Mizuho trains ที่วิ่งบนสาย Tokaido Shinkansen และ Sanyo Shinkansen เจอาร์พาสไม่ร่วมกับรถไฟที่ไม่ได้ดำเนินการโดยกลุ่มบริษัทรถไฟญี่ปุ่น เช่น Odakyu Line รถไฟสายที่เป็นส่วนหนึ่งของ Tokyo Subway Line (ซึ่งครอบคลุมเฉพาะ Yamanote line และสายที่วิ่งออกนอกเมือง) และ Keio Line

ในบางการให้บริการของเจอาร์พาสอาจมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมบนรถไฟ หรือ ค่าปรับแก้ไข ที่จะเรียกเก็บที่สถานีปลายทาง ดังต่อไปนี้:

  • ค่าบริการของรถไฟขบวน Fuji Excursion;
  • ค่าบริการของรถไฟขบวน Mt. Fuji;
  • ค่าบริการของรถไฟขบวน Nanki/Mie;
  • ค่าบริการของรถไฟสาย Odoriko และ JR Ito line;
  • ค่าบริการของรถไฟขบวน Shirayuki.

นอกจากนี้ บริการของรถไฟขบวน Hashidate/Tango, Shimanto/Ashizuri, Spacia/Kinugawa, Super Hakuto/Super Inaba และ Super Odoriko อาจมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมต่างหากเช่นกัน

ประโยชน์และข้อดีของเจแปนเรลพาส

  • ประหยัด: เจอาร์พาสช่วยให้คุณประหยัดเงินไปได้เยอะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับการเดินทางระยะไกล หรือ เดินทางในหลายๆภูมิภาคที่ญี่ปุ่น ครอบคลุมการเดินทางด้วยรถไฟของกลุ่มบริษัทรถไฟญี่ปุ่นแบบไม่มีจำกัดการใช้งาน รวมไปถึงชินคันเซ็นที่ราคาแพง
  • สะดวกสบาย: นักท่องเที่ยวสามารถใช้เจอาร์พาสเพื่อเดินทางแบบไม่มีจำกัดโดยไม่ต้องวุ่นวายไปซื้อตั๋วรถไฟสำหรับแต่ละเที่ยว แล้วยังไม่ต้องเสียเวลาไปต่อแถวซื้อตั๋วด้วย
  • ยืดหยุ่น: เจอาร์พาสช่วยให้แผนการเดินทางของคุณยืดหยุ่นได้ ให้คุณได้สำรวจแต่ละพื้นที่ของญี่ปุ่นอย่างเต็มที่ นานเท่าที่คุณต้องการ โดยที่ไม่โดนกำหนดไว้ว่าต้องออกเดินทางเมื่อไหร่หรือวันไหน
  • การผจญภัยที่มาแบบปุบปับ: ความยืดหยุ่นนี่แหละ เหมาะสุดๆสำหรับนักเดินทางที่ชอบเดินทางแบบปุบปับ หรืออยู่ๆก็ออกเดินทางโดยที่ไม่ได้วางแผนอะไรไว้ก่อนเลย เพราะว่ายังไงก็สามารถขึ้นลงรถไฟยังไงก็ได้ตามใจ
  • สิทธิพิเศษ: เจอาร์พาสบางประเภทมาพร้อมกับสิทธิพิเศษต่างๆ เช่น สามารถจองที่นั่งบนรถไฟบางขบวนได้ฟรีๆ ทำให้การเดินทางของคุณลื่นไหลไม่มีสะดุด ซึ่งมีประโยชน์มากโดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงฤดูกาลท่องเที่ยว

เจอาร์พาสนับวันยังไง?

เจอาร์พาสนับระยะเวลาของการใช้งานตามวันบนปฏิทิน โดยเริ่มจากเที่ยงคืน จบที่เวลาเที่ยงคืน ไม่ใช่การนับแบบ 24 ชั่วโมง

เช่น คุณมีเจอาร์พาสแบบ 7 วัน เริ่มใช้งานครั้งแรกวันที่ 1 มกราคม เวลา 12.00 ตั๋วเจอาร์พาสของคุณใบนี้จะหมดอายุวันที่ 7 มกราคม เวลา 24.00 (ไม่ใช่หมดอายุวันที่ 8 มกราคม เวลา 15.00 ซึ่งจะถูกนับเป็นที่ 8) สรุปสั้นๆคือ ไม่ว่าจะใช้ครั้งแรกตอนกี่โมงก็ตาม วันที่ใช้ครั้งแรกจะถูกนับเป็นวันที่ 1 และ เจอาร์พาสของคุณ จะหมดอายุตอนเที่ยงคืนของวันที่ 7 นั่นเอง

ถ้าหากคุณขึ้นรถไฟก่อนเที่ยงคืนในวันสุดท้ายที่ตั๋วจะหมดอายุ แล้วยังอยู่บนรถไฟหลังจากผ่านเที่ยงคืนนั้นไปแล้ว คุณก็จะยังใช้บริการรถไฟนี้ได้จนถึงเวลาที่คุณลง แต่ถ้าหลังจากลงมาแล้วจะเปลี่ยนขบวนไปนั่งชินคันเซ็น (Shinkansen), Limited Express Trains หรือ Express Trains คุณจะต้องซื้อตั๋วรถไฟใหม่ เพราะว่าเลยเที่ยงคืนของวันสุดท้ายมาแล้ว ตั๋วเจอาร์พาสของคุณจึงหมดอายุไปแล้วและใช้อีกไม่ได้แล้วนั่นเอง

กระเป๋าและสัมภาระ

สำหรับชินคันเซ็น

สำหรับชินคันเซ็นสายดังต่อไปนี้:

  • Tokaido Shinkansen ที่วิ่งระหว่าง โตเกียว และ ชินโอซาก้า
  • Sanyo Shinkansen ที่วิ่งระหว่าง ชิโอซาก้า และ ฮากาตะ
  • Kyushu Shinkansen ที่วิ่งระหว่าง ฮากาตะ และ คาโกชิมะ-ชูโอ

ผู้โดยสารสามารถนำสัมภาระขึ้นรถไฟโดยไม่มีค่าใช้จ่ายได้สูงสุด 2 ชิ้น โดยสำหรับกระเป๋าแต่ละชิ้นนั้น ความกว้าง ความยาว และความสูง ต้องรวมกันแล้วไม่เกิน 250 เซนติเมตร ความยาวไม่เกิน 2 เมตร และน้ำหนักไม่เกิน 30 กิโลกรัม

สำหรับสัมภาระชิ้นที่ความกว้าง ความยาว และความสูง รวมกันแล้วน้อยกว่า 160 เซนติเมตร สามารถนำขึ้นรถไฟได้เลยโดยที่ไม่ต้องจองที่เก็บ ส่วนสัมภาระ 160 - 250 เซนติเมตร (oversized baggage) จำเป็นต้องจองที่เก็บล่วงหน้า หากไม่จองไว้จะมีค่าปรับอยู่ที่ 1000 เยน (ประมาณ 250 บาท) และกระเป๋าคุณอาจโดนเจ้าหน้าที่ย้ายไปย้ายมาบนรถไฟ ส่วนสัมภาระที่ขนาดใหญ่เกิน 250 เซนติเมตร ไม่อนุญาติให้นำขึ้นรถไฟ

วิธีจองกระเป๋าบนรถไฟญี่ปุ่น

การจองที่เก็บสัมภาระบนรถไฟญี่ปุ่นนั้นสามารถทำได้ฟรี ไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ สามารถทำการจองได้ผ่านแอพ Eki-Net ที่เครื่องออกตั๋ว หรือที่เคาน์เตอร์ออกตั๋ว สิ่งที่ต้องใช้ในการจองคือเจอาร์พาส (หรือตั๋วรถไฟธรรมดา) อย่างเดียวเท่านั้น แนะนำว่าให้จองที่นั่งพร้อมกระเป๋าไปพร้อมๆกันเลย

ทำอย่างไรถ้าเจอาร์พาสหาย

ถ้าทำเจอาร์พาสหาย ให้รีบแจ้งกับเจ้าหน้าที่บนรถไฟหรือที่สถานีที่ใกล้จุดที่คิดว่าทำหายหรือลืมไว้ที่สุด หลังจากแจ้งข้อมูลต่างๆแล้วก็รอหรือกลับมาสอบถามความคืบหน้าบ่อยๆ หากมีคนนำมาส่งคืนก็โชคดีไป หรือถ้าไม่มีคนเก็บได้เลย แต่คุณยังต้องเดินทางด้วยรถไฟอีกหลายเที่ยวระหว่างทริปนี้ คำนวนดูแล้วซื้อเจอาร์พาสใหม่ยังไงก็ยังใช้ได้คุ้ม แนะนำให้ซื้อใหม่ไปเลย

วิธีซื้อพาสใหม่คือให้ไปที่บริษัทท่องเที่ยว (travel agency) หรือพวกบริษัทขายทัวร์ ที่มักจะฝังตัวอยู่ตามสถานีใหญ่ๆของกลุ่มบริษัทรถไฟญี่ปุ่น โดยเราสามารถรับพาสตัวจริงได้เลย ไม่ต้องใช้วอเชอร์เพื่อเอาไปแลกเหมือนตอนซื้อพาสแรกมา เอกสารที่ใช้ก็มีอย่างเดียวคือพาสปอร์ต ตอนที่ซื้ออย่าลืมแจ้งกับทางเจ้าหน้าที่ด้วยว่าจะเริ่มใช้พาสใหม่นี้วันไหน จะได้ไม่เสียวันไปฟรีๆ เนื่องจากถ้าไม่ได้บอกไว้ พาสที่เขาออกให้จะเริ่มนับตั้งแต่วันที่ซื้อทันที